การใช้สมองซีกขวาเพื่อความก้าวหน้าทางธุรกิจ
Business Owner
V.15 NO. 174 Anniversary 2015



การใช้สมองซีกขวาเพื่อความก้าวหน้าทางธุรกิจ

สัตกร วงศ์สงคราม

ลองสังเกตการใช้ชีวิตประจำวันของเราดูครับว่า "เราใช้สมองซีกไหนมากกว่ากัน" คนเราใช้เวลาในหนึ่งวันหมดไปกับการเรียน การทำงาน 5-6 วันต่อหนึ่งสัปดาห์ ไม่ก็ 7 วันเลยมั้งครับ สำหรับคนบ้างาน ทุกวินาทีของการใช้ชีวิตอาศัยกระบวนการคิดจากสมองอันส่งผลต่อการปฏิบัติตัวของแต่ละคนที่ต่างกันออกไป แทบจะไม่มีใครใช้สมองสองข้างเท่าๆ กัน หรือพอๆ กัน บางคนใช้ข้างขวามากกว่า บางคนใช้ข้างซ้ายมากกว่า

มีคำอธิบายสั้นๆ ไว้ว่า "สมองข้างขวาเกี่ยวกับอารมณ์ ส่วนข้างซ้ายเกี่ยวกฎเกณฑ์และตัวเลข" อธิบายแบบนี้สั้นเกินไป จนอาจทำให้หลายคนตีความผิด คิดว่า ถ้าเป็นแบบนี้ควรใช้ข้างซ้ายมากกว่าข้างขวา โดยเฉพาะผู้ที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงเกี่ยวกับงานหรือการเรียน เป็นหัวหน้า เป็นผู้ประกอบการ แต่ทั้งนี้ก็ไม่เสมอไปครับ การใช้สมองข้างขวาก็นำความสำเร็จมาให้กับงานได้เหมือนกัน

คนที่เป็นเจ้าพ่อ "เป๊ะ" เจ้าแม่ "เนี้ยบ" เจ้าระเบียบ กฎเกณฑ์เยอะ เพื่อรักษาไว้ซึ่ง "ระเบียบวินัย" เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่พอมากเกิน คนรอบข้างจะอึดอัด แม้แต่ตัวเองก็ไม่มีความสุข เพราะหากอะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะหงุดหงิด น่าเห็นใจตรงที่ หากต้องรับผิดชอบอะไรแล้ว ต้องเป็นจริงเป็นจัง เอาเป็นเอาตาย ไม่เช่นนั้น ผลงานจะไม่เป็นดั่งหวัง มีผลต่อเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ไม่ก็ความไว้วางใจจากคนรอบข้างลดลง ถ้าเป็นลูกน้องเขา เจ้านายหรือเจ้าของธุรกิจก็ไม่ไว้วางใจ ถ้าเป็นผู้ประกอบการก็มีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น ดังนั้นจึงต้องหอบเอาเครียดติดตัวไว้เสมอ เพราะต้องแบบภาระไว้บนบ่าจนวางไม่ได้ ยกตัวอย่างผู้ที่ทำงานด้านการขาย ทั้งตัวแทนประกันชีวิตระดับหัวหน้าหน่วยขึ้นไป ถึงผู้จัดการภาค หรือมากกว่านั้น "แม่ทีม" ธุรกิจเครือข่ายที่ต้องดูแลทีมงานจำนวนมาก และแบก "การรักษายอดเอาไว้" ทุกวันต้องคิดว่า จะเอายอดมาจากไหน จะวางแผนอย่างไร จะจัดระเบียบทีมงานอย่างไร ให้ได้ยอดตามเป้าหมาย อันนี้ใช้สมองข้างซ้ายล้วนๆ เลยครับ การใช้สมองข้างซ้ายจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ การทำงานมีขั้นตอน มีกฎระเบียบ ใช้เหตุผล วิเคราะห์ คำนวณ ประเมินผล และเก็บรายละเอียดได้ทุกเม็ด

ส่วนการใช้สมองซีกขวา จะเกี่ยวข้องกับการรับรู้อารมณ์ สังคม สุนทรียภาพ ใช้คำเก่ง ปราดเปรื่องในเรื่องภาษา แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง เมื่อมีปัญหามากระทบจะหาทางออกได้เสมอ ที่สำคัญคนที่ชอบใช้สมองซีกขวาจะรู้สึกสบายๆ กับสิ่งที่ไม่เป็นระเบียบ ไม่ชอบสแกนลายนิ้วมือเข้างาน ไม่ชอบเป็นลูกน้องใคร ชอบงานอิสระ ศิลปิน นักแสดง นักแต่งเพลง ฯลฯ มักจะอยู่ในอารมณ์นี้

แต่ไม่ได้หมายความว่านักธุรกิจทุกคน หรือผู้ที่แบกความรับผิดชอบสูงๆ จะต้องเป็นคนที่ใช้สมองซีกซ้ายแต่เพียงอย่างเดียว เท่าที่สังเกต เขาจะใจสมองซีกขวาไปด้วยบ้าง แม้จะเนี้ยบแต่บางทีก็อยากจะปล่อยวาง ส่วนคนที่เป็นศิลปิน ดารา นักแสดง ไม่ก็พวกที่ชอบใช้สมองข้างขวาใช่ว่าจะไม่เครียด

ดังนั้นจึงระบุชัดเจนไม่ได้ว่า การมีนิสัยใช้สมองข้างใดมากกว่ากันจะทำให้เครียดหรือไม่เครียดมากน้อยกว่ากัน แต่สำคัญอยู่ตรงที่ "เมื่อใช้สมองข้างซ้ายแล้วรู้สึกตัน ให้ลองหันไปใช้สมองข้างขวาดูบ้าง จะรู้สึกว่า หากทางออกได้มากยิ่งขึ้น" เข้าทำนอง "ออกนอกกรอบ" "กบนอกกะลา"

คนที่คิดเทคโนโลยีให้คนอื่นใช้ เช่น สตีฟ จ็อป เขาก็ใช้สมองข้างขวาอยู่ไม่น้อย เพราะการคิดนอกกรอบของเขา ทำให้เรามีโทรศัพท์ไร้ปุ่มใช้ จะมีใครสักกี่คน ที่จู่ๆ จะคิดได้ว่า แค่เอานิ้วสัมผัสแล้วปาดไปปาดมาหน้าบนหน้าจอมือถือก็พบเจออะไรมากมายในโลกได้ โดยไม่ต้องบินไปหาถึงที่ แต่ที่ขำมากไปกว่านั้น "คนไร้ระเบียบ" บางคนที่ "ลอก" งานคนอื่นเขามาแล้วปรับเปลี่ยนไปมา กลายเป็นของขายดีที่เห็นๆ กันอยู่ หากไม่มีสตีฟ จ็อบ ก็คงไม่มีค่ายไหนทำโทรศัพท์ไร้ปุ่มออกมาแข่ง ก็รู้ๆ กันอยู่ก็อบกันเห็นๆ แบบนี้ ก็ใช้สมองข้างขวาอีกนั่นแหละ

การที่ต้องบังคับใครทำโน่นทำนี่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อาจทำให้เรากลายเป็นหุ่นยนต์มากกว่าเป็นมนุษย์ ลองใช้อารมณ์สุนทรีทำงานดูบ้างก็ได้ครับ ไม่ต้องมาก ให้ทีมงานทำงานแบบสบายๆ สลับไปกับการรับเป้าหมายบ้าง เครียดบ้าง ผ่อนบ้าง สลับไปมา ขวาซ้ายผสมกัน อาจได้ผลงานที่ดีเกินคาดก็อาจเป็นได้

คิดอะไรไม่ออก หนีออกจากออฟฟิศไปนั่งร้านกาแฟสงบๆ จิบเครื่องดื่มเย็นๆ ที่เราชอบ หาหนังสือดีๆ สักเล่มมาอ่าน "ชิลล์ๆ" แล้วอาจเกิดประกายไฟในสมองก็เป็นได้ ... แค่นี้แหละ ก็ถือว่าได้ใช้สมองข้างขวาแล้วครับ

หน้าหลัก | ประวัติ | งานบรรยาย | บทความ | ติดต่อ

sattakorn.com Powered by NetworkMission |